กระบวนการการวัดผลเป็นหนึ่งในขั้นตอนการทำ SEO ที่นักการตลาดควรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการทำ SEO ในระดับองค์กรที่ต้องใช้งบประมาณ บุคลากร และเวลาอย่างมหาศาล ดังนั้นการทำ SEO ในระดับองค์กร์ส่วนใหญ่จึงต้องมีขั้นตอนวัดผลเพื่อดูว่าสิ่งที่ลงทุนลงแรงไปนั้นได้ผลตอบรับที่กลับมาอย่างคุ้มค่าที่จะทำต่อหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถานการณ์โลกในปัจุบันที่มีทั้งวิกฤตโรคระบาด ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาบานปลายไปทั่วโลก หลายองค์กรที่มีแผนการตลาดดิจิทัลก็ต้องพับโปรเจคไป หลายบริษัทต้องหันมารัดเข็มขัดเพื่อไม่ให้งบประมาณถูกใช้ไปอย่างเปล่าประโยชน์
ฉะนั้นในบทความนี้จึงได้สรุป 9 Metrics หรือ 9 ตัวชี้วัดสำคัญๆ ที่นักการตลาดจำเป็นต้องรู้สำหรับการทำ SEO ในระดับองค์กรมาฝากกัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย
1.ROI (Return On Investment )
สำหรับตัวชี้วัดแรกที่นักการตลาดที่ทำ SEO ทุกคนต้องรู้จักคือ ROI หรือก็คือผลตอบแทนจากการลงทุนนั่นเอง หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับตัวชี้วัดอันนี้จากการทำโฆษณาแบบ Paid Ads แต่ในการทำ SEO ก็สามารถนำหลักการ ROI นี้มาใช้ได้เช่นกัน โดยการหา ROI สำหรับการทำ SEO คือการนำผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนนั้นๆ เทียบกับงบประมาณที่ลงทุนไป (ROI = ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน/งบประมาณที่ลงทุน)
โดยผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในที่นี้คือ จำนวนการค้นหา x Click Through Rate (CTR) x Conversion Rate x มูลค่าของเป้าหมาย
2.Bounce Rate
หลายคนคงเคยได้ยินว่าถ้าเว็บไซต์มี Bounce Rate สูงๆ จะส่งผลเสียต่อการทำ SEO ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่า Bounce Rate คืออะไร? หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ Boune Rate ก็คือการที่มีคนที่กดเข้ามาในหน้าเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งแล้วออกทันทีโดยไม่มีการตอบสนองใดๆ กับหน้าเว็บไซต์นั้นเลย ในแวดวงการทำ SEO มีข้อถกเถียงอยู่ว่า Bounce Rate มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์จริงหรือไม่ อย่างบทความจาก Backlinko ก็มีการทดสอบออกมาว่า Bounce Rate มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์จริง ในขณะที่ทั้ง John Muller, Gary LLLyes หรือ Matt Cutts จากกูเกิลต่างออกมาพูดถึงว่า Bounce Rate นั้นไม่ได้มีผลต่อการจัดอันดับ เว็บไซต์หลายเว็บที่ติดอันดับสูงๆ ก็มีค่า Bounce Rate ที่สูง
อย่างไรก็ตามแม้ Bounce Rate จะดูเป็น Metric ที่อาจจะไม่ได้มีผลโดยตรงกับการจัดอันดับเว็บไซต์แต่หากพิจารณาดูดีๆ หนึ่งในประโยชน์นั่นคือการปรับปรุง UX/UI ให้ผู้ใช้งานสามารถตอบสนองกับหน้าเว็บไซต์มากขึ้น พูดง่ายๆ คือเป็นผลทางอ้อมกับการทำ SEO นั่นเอง
3.Backlinks
เชื่อว่าหลายคนที่มีประสบการณ์การทำ SEO คงคุ้นเคยและรู้ความสำคัญของ Backlink กันดีอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าการมี Backlink บนเว็บไซต์เยอะๆ ไม่ได้ช่วยให้อันดับของเว็บไซต์ดีขึ้นแต่อย่างใด แต่การมี Backlink ที่มีคุณภาพต่างหากที่จะช่วยให้เว็บไซต์ได้อันดับตามที่คุณคาดหวังไว้ เพราะฉะนั้นควรโฟกัสให้ถูกจุด จำเอาไว้ว่า Backlink ต้องเน้นคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ (สำหรับใครที่อยากรู้ว่า Backlink คืออะไรสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)
4.Indexed Pages
อีกหนึ่งตัวชี้วัดที่คนทำ SEO หลายคนมักจะละเลยคือการตรวจสอบว่ามีหน้าไหนบนเว็บไซต์ที่ยังไม่ถูก Search Engine จัดทำ Indexingต้องบอกว่าถ้าหน้าเว็บไซต์ไม่มีการทำ Indexing ก็จะหมายความว่าทุกอย่างที่ทำมาไม่ว่าจะเป็นการอดหลับอดนอนคิดคอนเทนต์ ทั้งการทำ On-Page หรือ Off-page ทั้งหมดนี้จะมีค่าเท่ากับศูนย์ทันที ฉะนั้นอย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าหน้าไหนบนเว็บไซต์ที่ยังไม่ถูกกูเกิลจัดทำ Indexing บ้าง (สำหรับใครที่อยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ Indexed Pages เพิ่มเติมอ่านได้ในบทความนี้)
5. CTR (Click Through Rate)
CTR (Click Through Rate) แปลอย่างตรงตัวคืออัตราคลิกผ่าน อธิบายง่ายๆ ว่าเป็นค่าที่บ่งบอกว่าผู้ใช้งาน Search Engine คลิกเข้ามายังเว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน โดยมากจะมีการแสดงผลเป็นรูปแบบ % โดยสูตรการคำนวณค่า CTR คือ
“คลิก/การแสดงผล = CTR”
ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์ได้รับการคลิก 10 ครั้ง และมีการแสดงผลอยู่ที่ 100 ครั้ง เมื่อนำไปเข้าสูตรคำนวรก็จะได้ค่า CTR อยู่ที่ 10%
6.Session
หากอยากรู้ว่าหน้าเว็บไซต์นี้สามารถสร้างแรงดึงดูดให้ผู้คนอยู่บนหน้านั้นได้นานแค่ไหน การดู Seesion สามารถตอบคำถามนี้ได้ เนื่องจากในแต่ละเว็บไซต์จะนับช่วงเวลาช่วงหนึ่งที่ผู้ใช้งานเว็บไซต์ 1 คน เข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ บนเว็บไซต์โดยนับเป็น 1 Session อย่างไรก็ตามแต่ละ Session จะมีการนับเวลาที่ไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น หากมีผู้ใช้งานที่เข้ามาเว็บไซต์แต่เปิดหน้าจอทิ้งไว้โดยไม่ได้มี Action อะไร เมื่อครบ 30 นาที Session นั้นก็จะหมดอายุลงและจะเริ่มนับเพิ่มเป็น Session ใหม่ทันที
7.Organic Traffic
สำหรับ Organic Traffic แปลแบบตรงตัวคือจำนวนของคนที่เข้ามายังเว็บไซต์โดยการใช้คีย์เวิร์ดค้นหาผ่าน Search Engine ต่างๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินไปกับการโฆษณาใดๆ พูดง่ายๆ ว่าคนที่เข้ามานั้นมาแบบธรรมชาติ ไม่ผ่านการโดนยิง Ads แต่อย่างใด ใครที่อยากให้เว็บไซต์มี Organic Traffic แบบพุ่งๆ ลองอ่านบทความเกี่ยวกับการทำ Techincal SEO ได้ที่นี่
8.Conversion
นักการตลาดออนไลน์คงรู้จัก Conversion กันดีอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ไม่รู้จักอธิบายง่ายๆ ว่า Conversion เปรียบได้กับเป้าหมายหลักอาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างยอดขายจริงให้เกิดขึ้น หรือหากในกรณีของเว็บไซต์การที่มีคนดาวน์โหลดไฟล์หรือโบรชัวส์ การสมัครรับข่าวสารผ่านทางอีเมลก็นับว่าเป็นคอนเวอร์ชันเช่นกัน
9. Returning Visitors
สำหรับตัวชี้วัดนี้จะเป็นการวัดจำนวนของผู้ที่กลับเข้ามายังเว็บไซต์อีกครั้ง ค่านี้ยิ่งได้มากยิ่งถือว่าดี เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ชมทีอาจกำลังสนใจสินค้าหรือบริการและมีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นลูกค้าตัวจริงของเว็บไซต์ได้ อย่างไรก็ตามควรตรวจสอบด้วยว่าหากค่า Returning Visitor เยอะก็จริงแต่กลับมีค่า Conversion ที่สวนทาง แสดงว่าหน้าเว็บไซต์อาจเกิดปัญหาอะไรบางอย่างที่เป็นการขัดขวางไม่ให้ผู้คนเหล่านั้นตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ ดังนั้นอาจต้องประเมินความต้องการและปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ
รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com เว็บไซต์: www.relevantaudience.com