หลายคนเคยคิดกันไหมว่า ”ทำไมแค่พูดเรื่องนี้โฆษณาก็โผล่มา” หรือเคยรู้สึกว่า ”ทำไมโฆษณาอันนี้ถึงตามหลอกหลอนทุกเว็บที่ใช้งาน” แต่ช้าก่อนอย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปไปว่าเรากำลังถูกดักฟังหรือมีเรื่องราวเหนือธรรมชาติเกิดขึ้น สำหรับใครที่มีประสบการณ์ในเรื่อง Digital Marketing คงไม่สงสัยในเรื่องเหล่านี้ แต่หากใครที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วงการการตลาดออนไลน์จำเป็นที่จะต้องรู้จักไว้ให้เร็วที่สุด เพราะนี่คือหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดแบบ “Top Tier” เรียกว่า “การทำ Retargeting Campaigns” สำหรับการทำแคมเปญโฆษณานี้หากอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ เป็นการทำโฆษณาในรูปแบบออนไลน์ที่สามารถติดตามกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าเว็บไซต์ หรือคนที่เคยกดสินค้านี้ลงไปในตะกร้าสินค้า (Add to Cart) แต่ยังไม่ได้กดซื้อสินค้าในทันที จากนั้นเมื่อกดออกจากเว็บไซต์ ก็จะพบเจอกับแบนเนอร์โฆษณาที่เพิ่งเข้าไปดูมาล่าสุด ทั้งหมดนี้คือกลยุทธ์การทำ Retargeting นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หากนักโฆษณามือใหม่ท่านใดที่ติดใจการทำ Retargeting แล้วเผลอหลับหูหลับตาทำจนไปสร้างความรำคาญใจให้กับลูกค้า กลายเป็นว่าแทนที่จะทำให้แคมเปญโฆษณานั้น Success จนยอดขายพุ่งกระฉูดแต่กลายเป็น ลูกค้าเกิดความรำคาญจนแคมเปญโฆษณานั้น Suckseed แทนซะอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในบทความนี้ Relevant Audience จะพาไปเจาะลึก 5 ทิปส์ที่จะช่วยเสริมความมั่นใจในการทำ Retargeting Campaigns เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดกัน
1. ใช้ First-Party Data ในการทำ Retargeting
อย่างที่ทราบกันดีว่า ในตอนนี้เทรนด์การใช้ข้อมูลแบบ First-Party Data เป็น First Priority ของวงการการตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าในเรื่องความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มมากขึ้น แพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Microsoft, LinkedIn หรือ Twitter เริ่มที่จะให้นักการตลาดทุกคนใช้การเก็บข้อมูลแบบ First-Party Data ในการทำ Retargeting Campaigns จากเดิมที่ใช้ข้อมูลแบบคุกกี้ (Third-Party Data) เพราะเชื่อว่านอกจากเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานแล้ว ยังช่วยให้ประสิทธิภาพของการทำ Retargeting ให้มีมากขึ้นด้วย
2. ขยายกลุ่มเป้าหมายด้วย Similar Audience
การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมในการยิงโฆษณาเป็นปัจจัยสำคัญหากอยากให้การทำ Retargeting Campaigns มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น กลุ่มเป้าหมายอย่าง Similar Audience เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสมในการมาปรับใช้กับกลยุทธ์ Retargeting Campaigns โดยหลักการทำงานของ Similar Audience (หรือ Facebook เรียกว่า Lookalike Audience) คือ กลุ่มเป้าหมายที่กูเกิลใช้ Machine Learning ในการรวบรวมข้อมูลและค้นหากลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มว่าจะเข้ามาเป็นลูกค้า โดยมีปัจจัยขึ้นอยู่กับข้อมูล Contact Info ที่เราใส่ลงไป ตัวอย่าง เช่น สมมติว่านาย A ชอบซื้อสินค้าบนเว็บไซต์เป็นประจำ หากต้องการให้คนที่มีพฤติกรรมคล้ายกับนาย A ก็แค่ป้อนข้อมูลของนาย A ลงไป จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของอัลกอริทึมในการทำงานประมวลผลและยิงโฆษณาให้กับคนที่มีพฤติกรรมคล้ายนาย A มากที่สุด
อย่างไรก็ตามระบบจำเป็นต้องมีข้อมูลอย่างน้อย 1,000 รายการ เพื่อให้เกิดการประมวลผลและค้นหากลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
3. โฆษณาให้ตรงเป้าหมายมากขึ้นด้วย Audience Exclusion
จะมั่นใจได้อย่างไรว่ากลุ่มเป้าหมายที่ยิงโฆษณาไปจะมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้าได้จริง เพื่อให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายมีความชัดเจนมากขึ้นและหลีกเลี่ยงการใช้งบประมาณอย่างสูญเปล่า
เพียงใช้ฟังก์ชัน Audience Exclusion ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาได้ง่ายๆ ทันที โดยการทำงานจะคล้ายกับฟังก์ชัน Negative Keyword อธิบายง่ายๆ คือ จะมีการจำกัดการเข้าถึงโฆษณา เพื่อช่วยให้โฆษณาสามารถแสดงไปยังกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เพราะถูกจำกัดการเข้าถึงจากผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายไปแล้วนั่นเอง
จากตัวอย่างในภาพ หากแคมเปญโฆษณาอยู่ในหมวดหมู่ของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ก็สามารถเลือกจำกัดการเข้าถึงโฆษณาตามกลุ่มผู้รับชมได้ว่าต้องการให้โฆษณาไปแสดงต่อลูกค้าประเภท Residental หรือ ลูกค้าประเภท Commercial (ในรายละเอียดทางกฎหมายมีความแตกต่างกัน) แน่นอนว่ายิ่งแคมเปญโฆษณาแสดงได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสในการขายสินค้าและบริการก็จะสูงเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
4. อย่าลืมเชื่อมต่อกับ Google Analytics
อาจมีนักการตลาดหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าสามารถใช้ Google Analytics เข้ามาช่วยในขั้นตอนการสร้าง Audience List ได้ในกระบวนการทำ Retargeting Campaigns เพียงแค่เชื่อมต่อ Google Analytics Account เข้ากับ Google Ads Account ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกในการแชร์ข้อมูลที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้สามารถเลือกการสร้าง Audience List ตามข้อมูลที่มีอยู่บน Google Analytics ได้ตามที่ต้องการ
แน่นอนว่าการใช้ Google Analytics ร่วมกับการทำ Retargeting จะสามารถช่วยยกระดับการ Target กลุ่มเป้าหมายในการโฆษณาได้ละเอียดมากขึ้น และจะช่วยเพิ่ม ค่า Conversion แบบที่คาดไม่ถึงแน่นอน
5. อย่าลืมให้ความสำคัญกับ Retargeting Campaigns
แน่นอนว่าในการคิดแคมเปญโฆษณาจำเป็นต้องมีการวางโครงร่างที่ดีและเหมาะสมเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับเงินทุกบาทที่ลงทุนไป แต่นักการตลาดส่วนใหญ่มักไม่ค่อยให้ความสำคัญในการใช้งบประมาณไปกับการทำ Retargeting Campaign แต่กลับต้องการยอด Engagement ที่สูง หรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น โดยทั่วไปควรมีการจัดสรรงบประมาณ 15 – 20 % ของแคมเปญทั้งหมดกับการทำ Retargeting (อย่างน้อยในตอนเริ่มต้น)
รับปรึกษาการทำ Dgital Marketing ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com
เว็บไซต์: www.relevantaudience.com