Blog

Relevant Audience ขอพาทุกคนมา Recap กันอีกสักรอบสำหรับฟีเจอร์ใหม่บน Google Local Search ที่ถูกเปิดตัวไปในงาน Search On Conference 2022 ที่ผ่านมา โดยฟีเจอร์ส่วนใหญ่มีจุดประสงค์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งาน Google ได้รับอรรถรสใหม่ๆ ในการใช้งานและให้มีประสบการณ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นการช่วยให้เหล่าธุรกิจท้องถิ่นต่างๆ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆผ่านการค้นหาแบบ Local Search มากขึ้นอีกด้วย  (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่) จากการประกาศเปิดตัวไปเมื่อช่วงที่ผ่านมา

ใครที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าบนแพลตฟอร์ม E-Commerce คงคุ้นเคยกับการใช้ฟีเจอร์ Free Listings ของกูเกิลกันอยู่แล้ว ที่เป็นฟีเจอร์ช่วยสนับสนุนให้แบรนด์และธุรกิจสามารถวางขายสินค้าใน Google Shopping Tab ได้โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงค่าโฆษณาต่างๆ ถือเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากสำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นขายสินค้าต่างๆ บนโลกออนไลน์ โดยล่าสุดกูเกิลได้ขยับขยายการให้บริการฟีเจอร์ Free Listing ให้ผู้ใช้งานทุกกลุ่มใช้งานได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น ในครั้งนี้ได้อัปเดตให้ผู้ใช้งาน Google Search Console สามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้แล้วเช่นกัน โดยจะมีวิธีการและรายละเอียดอย่างไร มาดูไปพร้อมกันเลย ฟีเจอร์

ในปี 1995 การซื้อของบน Amazon เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งนั่นคือ ”หนังสือหนึ่งเล่ม” อีก 27 ปีต่อมา อุตสาหกรรม E-Commerce เติบโตและทำยอดขายได้มากกว่า 5.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า E-Commerce ได้ปฏิวัติโลกการซื้อขายสินค้าไปตลอดกาล ด้วยเทคโนโลยที่เป็นนวัตรกรรมตอบสนองความสะดวกสบายของผู้บริโภคยุคใหม่  ทำให้ผู้ประกอบการในทุกระดับต่างค้นหาหนทางที่จะพัฒนาช่องทางการขายให้กับธุรกิจหรือแบรนด์ของตัวเองเพื่อให้เติบโตอย่างมั่นคง  ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณจะสามารถก้าวทันคู่แข่ง ในบทความนี้ได้รวบรวมเทรนด์ E-Commerce มาแรงที่มาแน่ในปี 2023

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา Meta ได้ออกมาประกาศเพิ่ม Ad Placement ใหม่ๆ บนแพลตฟอร์ม Instagram (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่) ทั้งในหน้า Profile และหน้า Explore โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้แบรนด์หรือนักการตลาดสามารถแสดงแคมเปญโฆษณาไปในฟังก์ชันที่เป็นที่นิยมของผู้ใช้งานได้มากขึ้น  ล่าสุด Meta ได้ออกมาประกาศเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรันแอดในหน้า Explore บน Instagram โดยแบรนด์หรือนักการตลาดที่ใช้งานตัว Instagram

สำหรับใครที่มีประสบการณ์การปรับ Ads Campaign บน Google Ads กันอยู่แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับเครื่องมืออีกตัวที่มีหน้าตาและฟังก์ชันคล้ายๆ กันอย่าง Google Ads Editor ที่เป็นตัวช่วยนักการตลาดในการปรับแคมเปญจำนวนมาก โดยล่าสุด Google Ads Editor ก็ได้เดินทางมาจนถึงเวอร์ชัน 2.2 แล้ว ทั้งที่จริงแล้วก่อนหน้านี้กูเกิลเพิ่งปล่อยตัวเวอร์ชัน 2.1 มาในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาไม่นานนี้ รายละเอียดของตัวเวอร์ชัน 2.2

หลายคนที่มีประสบการณ์การทำงานการตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่างๆ คงคุ้นเคยกับคำว่า Ad Frequency เป็นอย่างดี โดยคำคำนี้มักถูกใช้ในการตั้งค่าความถี่หรือจำนวนครั้งที่จะมีคนเห็นโฆษณาหรือคอนเทนต์นั้นๆ โดยจะคำนวณออกมาเป็นค่าเฉลี่ย  แต่เดิมแล้วแบรนด์หรือนักการตลาดที่รันแคมเปญโฆษณาบนแพลตฟอร์มในเครือข่ายของ Google จะสามารถปรับค่า Ad Frequency นี้ได้เฉพาะ TV Campaign ใน Google Display และ Video 360 เท่านั้น แต่ล่าสุดกูเกิลได้ตัดสินใจเพิ่มฟีเจอร์นี้ให้นักการตลาดทั่วโลกสามารถปรับ Ad Frequency

สำหรับนักการตลาดและแบรนด์ที่มีประสบการณ์การทำการตลาดผ่านช่องทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram และ Facebook คงคุ้นเคยกับเครื่องมือฟรีที่ชื่อว่า Meta Business Suite ที่เปรียบเสมือนตัวช่วยประหยัดเวลาในการสร้างการเชื่อมต่อกับผู้คน อย่างการดูข้อมูลเชิงลึก หรือการตอบกลับข้อความทุกแพลตฟอร์มในที่เดียว จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา Meta ตัดสินใจเพิ่มฟีเจอร์การตั้งเวลาโพสต์คอนเทนต์ต่างๆ รวมไปถึงไอจีสตอรี่ล่วงหน้าให้กับผู้ใช้งาน Instagram ผ่านเครื่องมือ Business Suite ให้สามารถรันคอนเทนต์หรือแคมเปญต่างๆ ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีเสียงสะท้อนจากผู้ใช้งานมาอย่างต่อเนื่องว่าต้องการให้ Meta เพิ่มฟีเจอร์การตั้งเวลาโพสต์บน Instagram

ใครที่มีประสบการณ์การทำงานในโลกของการตลาดออนไลน์ คงรู้ดีว่าปัจจุบันนี้ในแต่ละวันการแข่งขันมีแต่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด ธุรกิจระดับกลาง-ใหญ่ที่มีเงินทุนสำรองหมุนเวียนเพียงพอต่างก็พร้อมจ่ายเพื่อให้แคมเปญสามารถเข้าไปนั่งในใจลูกค้าให้ไวที่สุด หรือในกรณีการสร้างเว็บไซต์ตามแนวทาง SEO เพื่อให้ติดอันดับหน้าแรก ก็ต้องเลือกใช้คีย์เวิร์ดราคาสูงๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับให้มากขึ้น แน่นอนว่าทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจท้องถิ่นหรือนักการตลาดมือใหม่ต่างต้องงัดเอากลยุทธ์ที่ตัวเองมีมาใช้ให้มากเท่าที่จะมากได้แต่ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ส่งผลทำให้หลายธุรกิจต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ในฐานะของนักการตลาดหรือผู้ประกอบการท้องถิ่นที่กำลังเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์เป็นของตนเอง และตั้งเป้าหมายอย่างแน่วแน่ที่จะทำให้เว็บไซต์มีอันดับ SEO ที่ดีขึ้นและติดหน้าแรกให้ไวที่สุด สิ่งสำคัญไม่ใช่การหน้ามืดตามัวใส่ทุกอย่างไปให้สุด แต่เป็นการรักษากรอบการทำงานให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยอาศัยเทคนิคแบบ “Less Is More” คือเลือกโฟกัสให้ถูกจุดก็จะช่วยให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพที่สูงได้เช่นกัน ดังนั้นในบทความนี้ Relevant Audience ขอพามาดู

ในปัจจุบันหลายคนคงทราบกันดีถึงเทรนด์ของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนไปในทุกวัน เปรียบได้กับเป็นคลื่นลูกใหญ่ของทุกอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นจากผู้บริโภคทั้งในมุมมองของการใช้ชีวิต ผนวกรวมกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ทำให้หลายกลุ่มธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้ตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ไล่ตั้งแต่การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด – 19 ไปจนถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ที่ส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มมีการใช้ชีวิตในพฤติกรรมแบบ Introvert กันมากขึ้น กล่าวคือมีไลฟ์สไตล์ที่ไม่ได้ตามเทรนด์อะไรมากมายนัก เน้นการเสพและแชร์ข้อมูลในสิ่งที่ตนเองชอบหรือสนใจเป็นหลัก  ดังนั้นในฐานะของแบรนด์หรือนักการตลาดแล้ว การมีกลยุทธ์ที่ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นมนุษย์ Introvert จึงกลายเป็นแนวทางหลักที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถขับเคลื่อนคอนเทนต์ต่างๆ ให้ตรงใจมากขึ้น และจะส่งผลดีให้กับธุรกิจในระยะยาว ในบทความนี้ Relevant Audience จะมาแชร์ Marketing

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองอยู่ คงรู้กันดีว่าแนวทางการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล เพื่อให้อัลกอริทึมของ Search Engine รู้จักเว็บไซต์มากขึ้นและนำขึ้นไปอยู่ในหน้าแรกๆ เป็นการเพิ่ม Organic Traffic ทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วไปสามารถค้นหาเจอก่อน ทำให้สามารถตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการจากเว็บไซต์นั้นๆ   นอกเหนือจากการองค์ความรู้ในการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงตามแนวทาง SEO อย่างการทำ On-Page หรือ Off-Page แล้ว การรู้ว่ากูเกิลจะเข้ามาเก็บข้อมูลต่างๆ บนเว็บไซต์เพื่อนำข้อมูลไปจัดอันดับนั้นมีกระบวนการทำอย่างไร แล้วในฐานะของเจ้าของเว็บไซต์จะทำอย่างไรให้กูเกิลหาเว็บไซต์เจอให้เร็วมากขึ้น เพราะนั่นหมายความว่ายิ่งกูเกิลรู้จักเว็บไซต์ของเราเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่เว็บไซต์เราจะติดอันดับได้ไวมากขึ้นเท่านั้น

ผู้ประกอบการหรือใครที่เพิ่งเริ่มมีเว็บไซต์ WordPress เป็นของตัวเอง เชื่อว่าหลายคนคงกำลังเริ่มมองปลั๊กอินดีๆ ให้กับเว็บไซต์อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลั๊กอินที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องของการนำเสนอวิดีโอคอนเทนต์ ที่ในปัจจุบันเนื้อหาคอนเทนต์ประเภทนี้กลายเป็นเทรนด์ยอดนิยมที่ขาดไปไม่ได้ เพราะด้วยการสื่อสารผ่านภาพเคลื่อนไหวเป็นหนึ่งในวิธีการที่จะช่วยย่อยข้อมูลที่มีความซับซ้อนให้เข้าใจได้อย่างกระชับ รวบรัด เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยในปัจจุบันเว็บไซต์ WordPress นั้นมีตัวเลือกปลั๊กอินให้เลือกใช้มากมาย ทำให้มือใหม่หลายคนไม่รู้จะว่าจะใช้ตัวไหนดี ครั้นจะไปลองใช้หมดก็ไม่ไหวแน่นอน ดังนั้นในบทความนี้เราได้รวบรวม WordPress Plugin สำหรับเล่นวิดีโอบนเว็บไซต์ มาให้มือใหม่ได้ลองใช้กันดู รับรองเลยว่าคัดมาแต่ละอัน “ดีและมีคุณภาพ” เหมาะกับมือใหม่หรือมือเก๋ามากประสบการณ์ ติดตั้งแล้วไม่มีเสียดายแน่นอน แนะนำ

ก่อนหน้านี้ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา Meta ได้มีการประกาศฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมายทั้งใน Facebook และ Instagram โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ทั้งครีเอเตอร์ แบรนด์ และนักการตลาดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสามารถที่จะสร้างคอมมูนิตี้ใหม่ๆ ขยายการเข้าถึงคอนเทนต์สู่ผู้ใช้งานมากขึ้น รวมไปถึงการรับรายได้ผ่านคอนเทนต์ต่างๆ  ต้องบอกว่าในรอบสองปีที่ผ่านมาการแข่งขันของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีความเข้มข้นชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร เห็นได้จากการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ TikTok การมาถึงของ OnlyFans, Clubhouse หรือแม้แต่ Twitter ที่ล่าสุดมีการเปลี่ยนมือ CEO คนใหม่เป็นมหาเศรษฐีเจ้าของ Tesla อย่างอีลอน